วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559


  • นานมาแล้วที่ไม่ได้ up blog สักที ช่วงที่กำลังเห่อก็นั่งเฝ้าทั้งวันแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกะมันนักหรอก แต่แล้ววันนี้ ก็นึกถึงขึ้นมาได้จากการนั่งดูคนอวดผี (เอ๊ะดูจะไม่เกี่ยว) แต่เพราะด้วยความที่เสิร์ทไปเรื่อยๆเกี่ยวกับเรื่องผีในย่านพุทธมณฑล แล้วก็ไปเจอกับบทความใน  
  • http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1262150 เลยทำให้นึกถึงครั้นสมัยที่เราเรียนที่มหิดล ศาลายา เอาล่ะมาดูบทความที่ขออนุญาตลอกเค้ามาทั้งหมดละกัน

  • คณะต่างของมหาวิทยาลัยมหิดลนิยมเรียกเป็นชื่อย่อภาษาอังกฤษ ทำให้งานหลักของเด็กปีหนึ่งคือนั่งท่องตัวย่อเหล่านั้น

  • มหิดล ศาลายาตรงสะพานข้ามคลอง ทางด้านตึกคณะสิ่งแวดล้อม ถ้าเจอเต่าในคลองข้างซ้ายจะอกหัก ถ้าเจอเต่าในคลองข้างขวาจะติด F แต่ถ้าเจาตัวเห้ ถ้าเห็นมันขึ้นคลองบุ๋ยจะได้ A แต่ถ้าเห็นมันลงคลองบุ๋ยจะได้ F

  • ว่ากันว่าที่คาเฟต มีร้านอาหารชื่อร้าน "ป้าแจ๋ว" แต่ไม่มีใครเคยเห็นป้าแจ๋วสักที

  • ร้านป้าเสธ (ร้าน11) มีข้าวยำไก่แซบ ป้าบอกว่า "ชั้นทำก่อน เค เอฟ ซี นะยะ" บางคนมักจะเรียกป้าเสธ.ว่าป้าเซ็ง

  • มีแมงทับอยู่ในสวนสมุนไพร!!!!! แมงทับมี 8 ขา มีเฉพาะตอนมืดๆ บางครั้งอาจพบเศษเสื้อผ้าตกอยู่ข้างแมงทับ บางครั้งพบแมงทับในรถด้วย

  • ลอยกระทงที่เรือนไทย ถ้าลอยกับแฟนแล้วจะเลิกกัน

  • ในมหิดลมีป้ายรถเมล์ แต่รอเท่าไหร่ก็ไม่มีรถเมล์มาจอดหรอก

  • เดี๋ยวนี้เขามีรถรางให้บริการแล้ว แถมทำป้ายรถเมลล์เพิ่มอีกต่างหาก (ทำป้ายซะถี่เชียว เพื่อออ)

  • 80% ของเด็กมหิดลอยากดูเรื่อง Season Change เพราะมันถ่ายที่ศาลายา, 15% เพราะนางเอก, 5% เพราะพระเอก

  • 90% ของเด็กมหิดลต้องเคยทำสายกางเกงเล พันกับล้อจักรยาน

  • 80% ของเด็กมหิดลเป็นเด็กต่างจังหวัด

  • มหิดลมีถนนดวงดาว แต่ที่มันเหมือนดวงดาวนั้นเพรามีเศษแก้วระยิบระยับอยู่เต็มพื้น

  • มหิดลศาลายา เค้าว่ากันว่าผีดุมาก

  • หมาหนึ่งตัวที่มหิดลมีมากกว่า 100 ชื่อ

  • Cafet คือโรงอาหารชื่อสุดหรู แต่มันย่อมาจาก cafeteria

  • ก๋วยเตี๋ยวแม่ ที่วิทยาเขตศาลายา อร่อย และแพง เป็นที่มาของชื่อร้านเพราะกินไปกินมาจะคิดถึงแม่ (ไม่มีเงินจ่าย - -")

  • ที่โรงช้างถูกเรียกว่าโรงช้าง เพราะเมื่อก่อนมันจะมีเสียงแปร๋นตอน 2 ทุ่ม (เสียงออดปิดโรงช้าง)

  • กิจกรรมยามว่างของชาวศาลายาคือ "ลอกเล็กเชอร์ เดินเหม่อหน้าเซเว่น กินปังเย็นหน้าประตูหนึ่ง คิดถึงแฟน วางแผนปีนหอ"

  • ยุงทีศาลายากัดทะลุกางเกงยีนส์ได้ และบางครั้งการตบยุงครั้งเดียวได้ยุงถึง 3 ตัวก็มี

  • เรามีสวนจิงโจ้เป็นของตัวเองโดยไม่ต้องถ่อไปดูถึง ออสเตรเลีย ^^ ที่มาของชื่อสวนจิงโจ้ มาจากถังขยะที่เป็นปูนปั้นรูปจิงโจ้นั่นเอง (จิงโจ้ตัวเหม็นพิลึก - -")

  • จนบัดนี้ มีหลายคนยังงอยู่ว่ามหิดลมีกี่คณะ และกว่า 90% ของคนที่ยังงงอยู่ จะงงหนักกว่าเดิมเพราะไม่รู้ว่ามหิดลมีทั้งหมดกี่วิทยาเขต ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่ชอบให้เรียกศาลายา พญาไท ศิริราช กาญจนบุรีหรือที่อื่นๆว่าวิทยาเขต..เพราะทำให้รู้สึกว่าแบ่งแยก..แต่มันก็ แยกกันอยู่จริงๆนะ

  • กลุ่มการเมืองในมหาวิทยาลัยมีอยู่กลุ่มเดียวที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสโมสรนักศึกษา..ก็คือสโมปีก่อนนั่นแหละ

  • ศาลายาสโตร์มีทุกสิ่งให้เลือกสรรค์ ถามดูได้สิ่งที่คุณต้องการมันหลบอยู่ในซอกโน่น และซอกนี่ แต่ถ้าใครเข้าไปซื้อของที่สโตร์แล้วมักจะได้อย่างอื่นที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้อแต่แรก (--")

  • หอสมุดกลางด้านปีกซายแอร์เย็นสบายดุจสวรรค์ แต่ถ้าไปปีกขวาจะตรงกันข้ามทันที ถามทีไร "หลังคามันสูงแอร์เลยไม่เย็น"

  • เมท คือ คนที่มีผลต่อการเรียนของเราไม่น้อยไปกว่าตัวเรา ถ้ามันขยันเราก็ขยัน ถ้ามันพากันเจ๊งบอล เราก็มักจะเจ๊งตามมันด้วย T-T

  • L หรือ Lecture room สถานที่เป็นมากกว่าห้องเรียน แต่ใช้ทำอย่างอื่นได้ด้วยเช่น กินขนม อ่านการ์ตูน คุยกับกิ๊ก และที่ยอดฮิตคือเฝ้าพระอินทร์ บางวันโชคดีอาจได้ไปขั้วโลก

  • องค์พระ ที่ปรกติแทบไม่มีคนสนใจแต่ช่วงใกล้สอบควันจะพุ่งขึ้นอย่างกับมีไฟไหม้

  • เอนกฯ อาคารเอนกประสงค์ที่ทำได้ทุกอย่างพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะซ้อมเชียร์ ซ้อมกีฬาในร่ม และอบซาวน่า

  • ศูนย์สุขภาพ เป็นกี่โรคก็หายได้ด้วย พาราเซตามอล

  • สิ่งมหัศจรรย์ในมหิดล ศาลายาคือแทงค์น้ำรูป Pyramid กลับหัว

  • ตึกหน้าม. 3ตึก สามารถรวมร่างเป็นหุ่นยนต์ได้ โดย มีตึก OP(ตึกอธิการบดีใหม่) ตึก Inter(MUIC) และตึกคณะวิศวะใหม่(ตึกRobot) ตึกโรบอทมีชื่อเล่นหลายชื่อทั้งตึกแดง ตึกศาลเจ้า และตึกบิ๊กซี

  • 7-11 ศาลายา นั้นปิดทำการปีละ 1ครั้งช่วงปิดเทอมใหญ่เพื่อเช็ค stock หลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป พนักงานเซเว่นในม.จะสามารถวิ่งไล่จับกันในร้านได้

  • เด็กในคณะดุริยางคศิลป์ ชอบกินไข่คนกะข้าว

  • ในทีแรกแล้วต้นไม้ประจำมหิดลคือ ต้นศรีตรัง แต่ภายหลัง มอ.ได้นำไปขึ้นเป็นต้นไม้ประจำมหาลัยก่อน มหิดลเลย ต้องหาใหม่ จนได้ต้นกันภัยมหิดล ซึ่งเป็นต้นไม้ล้มลุกประเภทเลื้อย ผิดกับม.อื่นๆที่เป็นไม้ยืนต้น

  • ลานmusic hall เล็กๆ ด้านข้างศูนย์นันทนาการ เคยรองรับการบรรเลงโชว์จากวงออเคสตร้าระดับโลกมาแล้วหลายครั้งไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่มันแคบและเล็กขนาดนั้นเนี่ยนะ

  • มหิดลมีชมรมยิงปืน และมีสนามยิงปืน แต่ยิงได้แต่ปืนลม ถ้าจะยิงปืนจริง ต้องนั่งมอไซค์รับจ้างไปสนามตำรวจ แถวประตูสาม

  • ตลาดนัดวันศุกร์เป็นตลาดนัดที่อายุยืนยาวคงทน ผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว พ่อค้าแม่ค้าก็ยังขายของเหมือนเดิมทำเลเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แถมขยายอาณาเขตพื้นที่อีกต่างหาก อีกไม่กี่ปีก็น่าจะสามารถโปรโมตเป็นแหล่งท่องเที่ยว ตลาดนัดโบราณได้แล้วล่ะ

  • หลังจากปิดเป็นความลับมานาน ก็ปรากฏความจริงที่ว่า เขตหวงห้ามเฉพาะ area51 เอ้ย ชั้นสี่ ตึกICT ไม่ได้เป็นที่ลงจอดจานบิน ไม่ได้เป็นที่แล็บของอัมเบรลล่า แต่เป็นแค่ห้องประชุม

  • เชื่อกันว่าในคืนวันมหิดล นักศึกษาแพทย์ศิริราช (SI)ที่นอนเตียง C ในหอใน จะเจอของดีหากนอนในคืนนั้น เนื่องมาจากนักศึกษาSIที่ถูกรถชนตายจะกลับมาเตียงเดิมของเขา บางกระแสบอกด้วยว่าให้พยายามหาของไว้บนเตียงไม่ให้ว่าง

  • ยาม หรือ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ศาลายา น้อยกว่าที่ รพ .ศิริราช ซึ่งมีพื้นที่น้อยกว่าแล้วก็มีที่เปลี่ยวๆน้อยกว่าด้วย

  • วันมหิดล แต่เด็กที่วิทยาเขตอื่นๆมักไม่เคยได้ทำอะไร ส่วนเด็กศิริราชหนักหน่อย เพราะขายธง  และในวันนี้จากโรงพยาบาล จะถูกเปลี่ยนเป็นโรงงานนรก

  • ร้านขายยาหน้าศิริราช ขายยาถูกที่สุดในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นปลึกหรือส่ง ก็ราคาเท่ากัน แถมเท่ากันแทบทุกร้านด้วย

  • ส้วมที่คณะวิทย์ตึก B น่ากลัวที่สุด ถ้ามือถือตกลงไปแล้วก็อย่าเสี่ยงมุดหัวไปเอาเลย ตัดใจราดทิ้งไปเถอะ

เอาล่ะจบแล้วมาวิเคราะห์กันดีกว่า เราคาดว่าคนเขียนบทความนี้น่าจะเด็กกว่าเราสักหน่อย แต่ไม่เกิน 30 แน่ๆ เพราะในหลายๆเรื่องก็มีเฉพาะเด็กในรุ่นใหม่ๆเท่านั้นที่จะทราบและคงมีอีกหลายเรื่องที่เป็นเรื่องเก่าๆที่เค้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ในขณะที่ปัจจุบัน ศาลายา อาจไม่ได้เป็นแบบเรื่องนี้แล้วก็มี เช่นสวนจิงโจ้ ก็ถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่ทีไม่มีจิงโจ้อีกต่อไป ศาลายาสโตร์ ณ วันนี้มีคู่แข่ง ทั้งร้านทอป แล้วร้านของตั้งฮั่วเส็งอีก แมงทับปัจจุบันไม่น่ามีแล้ว เรื่องของสวนสมุนไพรเข้าใจว่าเด็กเดี๋ยวนี้คงไม่เข้าไปกันเท่าไรนักเพราะมีสิ่งให้บันเทิงและพักผ่อนในมหาวิทยาลัยอีกจำนวนมาก  จะว่าไปแล้วแอบอิจฉาเล็กๆกับเด็กสมัยนี้ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่ก็คงขาดกลิ่นอายความเป็นศาลายาในสมัยอดีตไปด้วยมากเหมือนกัน

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นี่คือความฝันรึมันคือเรื่องจริง

       คืนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ เป็นอีกคืนที่แสนจะเหนื่อยล้ากับการทำงาน สมองที่เหมือนเครื่องจักรทำงานมาตั้งแต่เช้าจะว่าไปแล้วอาจทำงานมาตั้งแต่กลางคืนของวันที่ 15 แล้วเพราะช่วงนี้ช่างฝันเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ตื่นขึ้นมาก็เหมือนนอนไม่เต็มอิ่มมา 2 คืนติด แล้วคืนที่ 16 มันก็ต้องรีบนอนเร็วสักหน่อยเผื่ออาการที่เมื่อยล้าจะได้ดีขึ้น รีบอาบน้ำนอนดีกว่า อาบน้ำเสร็จสบายตัวขึ้นเล็กน้อย แต่การนอนเร็วจะทำให้เรารู้สึกผิดทางใจก็ขอเอาเปเปอร์มาอ่านก่อนนอนเผื่อจะหลับสบายขึ้น (มั้ย) เผลอแป๊บเดียวปาเข้าไปจะ 5 ทุ่มแล้ว ว่าแล้วก็วางเปเปอร์กองข้างเตียงแล้วนอนมันซะเลย ฮึฮึ ต่อจากนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็ได้เกิดขึ้น 
       แพทอยู่ในสถานที่ที่มันแปลกตาดูเหมือนเป็นหลายๆที่ที่เคยไปแต่มารวมตัวกันในที่เดียว มีตึกชั้นเดียวเรียงตัวเป็นแถวยาวอยู่ตรงหน้า หน้าตาตึกนั้นราวกับโรงเรียนในสมัยที่เรายังเรียนในวัยประถม แต่ตึกนั้นกลับเป็นที่อยู่รึบ้านเช่าของคนงานของบ้านไม่สิมันคฤหาสถ์ชัดๆ ที่อยู่ตรงฝั่งที่แพทยืนอยู่ คฤหาสถ์หลังที่แพทยืนอยู่นี้เป็นหนึ่งในกลุ่มบ้านที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มคฤหาสถ์ในอีกหลายๆหลัง ซึ่งนับว่าหลังนี้เป็นหลังที่เล็กที่สุด "โอ๊วแม่เจ้า!! ถ้าเราเข้าไปเดินในนั้นเราอาจจะหลงได้เลยนะเนี่ย" เป็นประโยคที่แพทพึมพำกับตัวเองประโยคแรกตั้งแต่ไปยืนอยู่ที่ตรงนั่น ด้านหน้ามีรถ 2 คันจอดอยู่ จะว่าไปรถ 2 คนที่จอดอยู่นั้น ราคารวมๆกันน่าจะไม่ต่ำกว่า 7 ล้าน  พอยืนอยู่สักพักก็มีเพื่อนของแพทเองอีก 2 คนเดินออกมาแล้วชวนแพทเข้ายังสถานที่แห่งนี้เพื่อไปพบกับเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนแพทอีกที แต่จะว่าไปแล้วอยู่ๆเพื่อนเราชวนมาหาเพื่อนเค้าทำไมกันนะ "สวัสดีค่ะ" "สวัสดีครับ" ชายคนที่เป็นเจ้าของบ้านตอบกลับ     แพทมาหลังจากที่แพททักทายเค้า แต่สายตาของเค้านั้นกลับจ้องมองแพทอย่างประหลาดๆ "นี่เค้ามองเราไรนักหนาหว่า - . -* " แล้วแพทก็เริ่มจ้องมองเค้ากลับ คนๆนี้เป็นใครกันนะเราก็รู้ข้อมูลแค่ว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนเราเท่านั้น
       ผู้ชายคนนี้รูปร่างสูงใหญ่ไม่ได้อ้วนแล้วก็ไม่ได้ผอมจนเกินไป ซึ่งก็พอดิบพอดีกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่เค้าสวมใส่ กางเกงสีเทาพอดีตัว ทรงผมที่จัดและเซ็ทมาเป็นอย่างดี รองเท้าหนังสีดำที่ออกจะดูมีสไตล์ นาฬิกาที่ดูเข้ากันกับชุดที่เค้าใส่มาวันนี้ แล้วหน้าตาล่ะ ก็ไม่ใช่คนหน้าตาดีอะไร ติดออกจะธรรมดาๆคนนึง อายุประมาณ 33-35 ปี ถ้านึกภาพผู้ชายคนนี้ไม่ออกให้ลองนึกถึงพระเอกเรื่องทงอี จีจินฮี ทั้งรูปร่างการแต่งกาย แต่ไม่ได้แต่งตัวย้อนยุคอย่างนั้นน้า ดูตามภาพนี้กันเลยคาดว่าหลายๆคนคงรู้สึกว่าเค้าออกจะหน้าตาดี เอาเป็นว่าเป็นผู้ชายสไตล์นี้ มีรูปร่างความสูงประมาณนี้ หน้าตาไม่หล่อขนาดนี้ละกันน้า
Cr: http://www.popcornfor2.com
       "แพท เดี๋ยวผมพาไปเดินเล่นรอบๆบ้าน" ตอนนี้แหละแพทเริ่มมองคนรอบตัวแพทที่มาด้วยกันกะจะชวนๆกันไปเยอะๆ แต่ปรากฎว่ามันเดินหายไปกับเพื่อนของผู้ชายคนนี้กันหมดตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ (ก็คงตอนที่เรามายืนพิจารณาผู้ชายคนนี้อยู่อะดิ๊) อารมณ์ไหนของเค้าจะพาไปเดินเล่น "ค่ะไปค่ะไป" ก็จะให้ยืนอยู่อย่างนี้ก็เบื่อแย่ละเนอะ 
       การไปเดินเล่นที่เค้าบอกว่ารอบบ้านนี่ มันไม่ใช่เล่นๆเลย เพราะพอเดินออกจากหน้าบ้านตรงไปยังถนนๆเล็กรอบๆบ้านก็เดินเชื่อมเข้ามาถนนเส้นใหญ่เส้นนึงที่ด้านข้างถนนเส้นนี้เป็นวิวทิวทัศน์ของภูเขาสีเขียวทั้งลูกที่มองไม่เห็นยอด เพราะเวลาที่แพทมองออกไปนั้นเหมือนจะยังคงเป็นยามเช้าที่ยังมีเมฆและหมอกปกคลุม ลมเย็นๆที่พัดเบาๆ แต่ทำให้หญ้าพริ้วไหวไปตามลมนั้น อากาศช่างแตกต่างจากที่ๆแพทยืนอยู่ตอนแรก เพราะที่นี่เย็นสบาย เหมือนมีละอองน้ำวิ่งผ่านตัวจนทำให้รู้สึกเย็นจนตัวเริ่มเปียก แต่มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้นานเพราะมีคนที่เราเดินอยู่ด้วยข้างๆเอาสูทมาคลุมตัวให้ (เอามาจากไหนนะตอนแรกไม่ได้ใส่) นี่มันฉากหนังรักชัดๆ 
       ระหว่างที่เราเดินไปด้วยกันสองคน บทสนทนาที่เราคุยกันมันทำไมช่างทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจมากกว่าสูทที่เค้าสวมให้เราซะอีกน้า คุยกันเพียงไม่นานแต่ราวกับเรารู้จักกันมาแรมปี ในขณะที่อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ตามระยะทางที่เราเดินห่างออกไปจากตัวบ้าน อยู่ๆก็มีมือมาคว้ามือแพทที่กวัดแกว่งไปตามประสาผู้หญิงเดินเร็วคนนึง ซึ่งก็ทำให้จังหวะการเดินของแพทเริ่มมีทิศทางและเราก็เดินไปพร้อมกันอย่างช้าๆ ในระหว่างที่เราเดินไปเรื่อยๆประโยคนึงที่เค้าได้พูดขึ้นมาทำให้การเดินของแพทได้หยุดลง "เรามายืนและเดินข้างๆกันอย่างนี้ตลอดไปได้มั้ย" "สายตาแพทในขณะนั้นไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเค้าเพราะมัวแต่ไปมองรองเท้าที่เปียกจากการที่เราเพิ่งเดินผ่านสนามหญ้ามา "นี่เราเพิ่งรู้จักกันเองนะคะ" (ชื่อยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำคล้ายๆกะหนังเรื่องนึงที่เคยดู) และเป็นเพียงฟระโยคเดียวที่แพทตอบออกไป เพราะหลังจากนั้นเค้าก็พาแพทกลับไปที่คฤหาสถ์หลังที่เราเดินจากมาด้วยท่าทางที่ดีอกดีใจเป็นอารมณ์ที่ดูแตกต่างออกไปจากตอนที่เราเดินออกมา
       เมื่อมาถึงคฤหาสถ์ ผู้ชายคนนี้ได้พาให้แพทมารู้จักกับครอบครัวของเค้าซึ่งทุกคนก็ดูมีชีวิตของตัวเองกันหมด และยังวุ่นวายกับธุรกิจของตัวเองกันอยู่ ซึ่งก็ไม่ได้สนใจการมาของแพทเท่าใดนัก พอหลังจากนั้นเค้าเองก็เช่นกัน เลขาของเค้าก็ได้เข้ามาและบอกในสิ่งที่เค้าต้องทำเป็นการเร่งด่วน ชั่วโมงนั้นเองคงจะมีแต่แพทสินะที่ว่างงาน แพทก็เลยเริ่มสำรวจบ้านด้วยตัวเอง พอเดินพ้นบ้านที่ได้ดัดแปลงเป็นสถานที่ทำงานออกมายังกลุ่มคฤหาสถ์หลังข้างๆ ไม่ทันไรแพทก็เดินหลงทาง เป็นอย่างที่พูดเอาไว้ไม่มีผิด เดินออกจากห้องโน้นมาห้องนี้ และห้องสุดท้ายที่เจอก็เลยพอจะเดาออกว่าสถานที่แห่งนี้คล้ายๆโรงละครที่มีผู้คนมากมายกำลังซ้อมการแสดงของตัวเอง "อ้อคงเป็นคนพวกนี้สินะที่อาศัยตรงตึกแถวข้างหน้าคฤหาสถ์" ระหว่างที่เพลิดเพลินกับดนตรีที่พวกคนเหล่านี้กำลังแสดง ผู้ชายคนนั้นก็กลับมาพร้อมกับเลขาของเค้า "แพทผมมีที่ที่ต้องพาแพทไปอีกที่นึง"แล้วมันเป็นที่ไหนกันนะ แล้วเค้าก็พาแพทไปที่รถคันที่จอดอยู่ในตอนแรก อ้อมันเป็นของเค้าเหรอเนี่ย แทนที่เราจะเดินออกไป แต่ตอนนี้เรานั่งรถออกมาแทน
   สถานที่ที่เรามาออกมาไม่ไกลจากที่อยู่เท่าใดนัก เป็นอาคารตบแต่งด้วยกระจกบานใหญ่ที่สามารถมองจากภายนอกแล้วเห็นทุกอย่างภายในตึกนั้นได้ทั้งหมด หน้าตึกมีหุ่นโชว์ชุดอยู่ แล้วทันใดนั้นเค้าก็เดินมาเปิดประตูรถพาแพทไปในตึกแห่งนี้ พอเข้ามาพนักงานก็ได้ตอนรับเป็นอย่างดี ยังไม่ทันที่แพทจะตั้งตัวเค้าก็พาแพทไปลองชุดที่อยู่ในหุ่นที่โชว์หน้าร้าน และเค้าก็เปลี่ยนเป็นชุดสูทที่ตัดอย่างปราณีตสีดำ (เค้าเป็นคนที่มีรูปร่างใส่อะไรก็ดูดีจริงๆโดยเฉพาะสูททักซิโด้ตัวนี้) แล้วชุดที่แพทใส่อยู่นี่ล่ะ ชุดสีงาช้างตัดเย็บด้วยผ้าซาตินเป็นเดรสสั้นกระโปรงพองๆ รองเท้าสีเข้ากันกับชุด มีเวลท์ยาวลากพื้น แต่งตัวเสร็จก็ออกจากร้านทันที
          ไม่ทันจะรู้ตัวแพทและเค้าก็มาที่สถานที่แห่งนึง ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทุกคนดูยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่่งก็คงเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้บรรยากาศช่างดีเหลือเกิน เพราะอยู่ติดกับริมทะเลทำให้มีลมพัดมาอยู่ตลอดเวลา ผ้าที่ใช้ตบแต่งสถานที่แห่งนี้ก็ดูไหวไปตามสายลมนั้นแต่แล้วสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น "กริ๊งๆๆๆๆๆ" เสียงนาฬิกาปลุกของเพื่อนดังขึ้น ยังไม่ทันจะได้กล่าวลาเค้าเลย ฮือๆๆ
            แว้บแรกที่รู้สึกได้เมื่อตอนตื่นนอน การที่ได้มาเจอกับผู้ชายคนนี้จนถึงตอนนี้ยังไม่มีช่วงไหนเลยที่ทำให้รู้สึกลำบากใจแต่กลับทำให้มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกตลอดเวลาที่ได้เจอและได้ทำในหลายๆสิ่งด้วยกัน "ฉันอยากกลับไปฝันต่ออีก" โค..ตรมีความสุขเลย ไม่ได้ละต้องนอนต่อ แล้วแพทก็หลับไปอีกครั้ง ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น
              แพทกลับมาในที่แห่งนึ่งที่คล้ายเป็นที่เริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดชุดที่แพทสวใใส่ยังคงเป็นชุดเดิม คนที่อยู่ข้างๆเราก็ยังเป็นคนเดิม เวลานั้นดีใจสุดขีด แต่สถานที่นั้นไม่ได้เป็นที่ที่เดียวกับตอนที่เราจากกัน แว้บนึงแพทก็เห็นผู้ชายชุดเขียวท่าท่าเร่งรีบวิ่งออกจากห้องห้องตึกแถวในมือถือโทรศัพท์มือถือ ในสัญชาติญานขณะนั้นรู้ได้ในทันทีว่าเป็นขโมย แพทรีบตะโกนและออกวิ่งตามในทันที "ขโมยๆๆๆ" ผู้ชายในชุดทักซิโด้ รีบวิ่งตามแพทออกไปด้วยความเป็นห่วงว่าจะเกิดอันตราย "แพทระวังนะครับเดี๋ยวให้เพื่อนผู้ชายคนอื่นช่วยจับนะ" สักพักก็มีผู้ชายกลุ่มใหญ่ออกวิ่งจับขโมยคนนั้น แล้วก็จับได้ในที่สุด แต่ไม่ทันจะจบเหตุการณ์นี้ไปก็มีขโมยอีกคนแต่ครั้งนี้มันค้นของที่ห้องแพทแทนแล้วก็ได้โทรศัพท์ไป ระหว่างที่กำลังคร่ำเคร่งกับการหาโทรศัพท์ แพทรู้สึกว่ามันเครียดมากไปแล้วนะไม่เหมือนครั้งแรกที่เราฝันตื่นดีกว่ามั้ย สักพักแพทก็ตื่นขึ้มาจากฝันอีกครั้งเพราะด้วยความที่กลัวโทรศัพท์ตัวเองจะหายเหมือนในฝัน และปรากฏว่านี่มันจะ 9 โมงแล้ว เฮ่ยๆๆ แถมยังปวดหัวอีกเหมือนเดิมเพราะมัวแต่ฝันอยู่นั่นแหละแพทเอ๋ย จบตอนความฝันของคืนที่16 กพ. หลังวาเลนไทน์ 2 วัน

สรุป...ความฝันจริงๆทุกเรื่องราวมีที่มาและที่ไป
       ก่อนนอนก็บ่นๆกะเพื่อนๆที่อยู่ร่วมห้องกันว่า เออหน้าจอเฟสบุคเราอะหลังๆนี่มีแต่รูป pre-wedding ไม่ก็เริ่มเอารูปลูกสาวบ้างชายบ้างมาโชว์ให้เห็นเต็ม timeline แล้วฉันล่ะ โสดจนไม่มีที่จะอยู่แล้วเลยต้องไปอาศัยกันบนคานใช่เปล่า ด้วยวัยแห่งการเริ่มต้นเลข 3 นิดๆ เพื่อนที่เรียนตอนปริญญาตรีกำลังจะแต่งงานอีกคู่แม้ว่าจะเป็นคู่ที่ 2 (ปลอบใจตัวเองว่าฉันยังเป็นคนส่วนใหญ่) แต่ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนที่เรียนด้วยกันสมัยมัธยม ประถมก็เห็นๆกันอยู่ ลูกน่ารักกันทั้งนั้น แล้วผู้ชายในแบบไหนที่จะเข้ามาหาเราล่ะ แม้ว่าผู้ชายคนที่เราฝันถึงจะไม่ใช่สเป๊คนะ แต่ดูเหมือนว่าจะมีจริงอยู่บนโลกมนุษย์นี้ซึ่งก็ดูจะใกล้เคียงความเป็นจริงอยู่บ้างที่เป็นผู้ชายธรรมดาๆ จะไม่ธรรมดาก็คงจะตรงที่รวยนี่แหละ ส่วนจีจินฮีนี่ ไม่รู้ว่าไปนึกถึงตอนไหนถึงได้สร้างบล๊อคผู้ชายคนนี้มาได้ ก็นะยังไงมันก็คงเป็นความฝันอยู่ดี แต่ก็เป็นความฝันที่ทำให้เรามีความสุขได้ล่ะน้า แล้วก็กลับมาสู่โลกความเป็นจริงที่ต้องปวดหัวเพราะเรื่องงานที่ทำอีกครั้ง "นี่สิชีวิตจริงบนโลกมนุษย์"



วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ได้ฤกษ์แล้ว

คิดมานานมากๆแล้วค่ะ กับการที่อยากมีบล็อคเป็นของตัวเอง 
แต่ก็นั่นแหละนะไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี 
ตอนแรกก็อยากเขียนเรื่องที่เราชอบทำ พวกงานฝีมือ ของ Handmade บ้าง อะไรทำนองนั้น 
แต่เนื่องจากคิดนานไปก็เลยรู้สึกว่าคนอื่นเค้าคงทำกันไปกันหมดแล้ว 
แล้วก็ปล่อยเลยผ่านมา จนกระทั่งจากวันนั้นจนวันนี้คงมากกว่า 2 ปีได้แล้ว 
พอมานั่งคิดใหม่จะรอให้เรามีเรื่องจะเขียนอีกทำไมก็ทำมันซะตอนนี้เลยดีมั้ย 
และแล้วในที่สุดก็ได้ฤกษ์ซะที 
เรื่องของเรื่องเลย ไปดูบล็อคของชาวบ้านไว้โดยเฉพาะสมพันธ์เกาหลี
ทั้งรายรายวาไรตี้ ซีรี่ย์มั่ง จนหลังๆมานี้ติดอย่างงอมแงม 
และก็มีเจ้าของบล็อคต่างๆ ที่เค้าใจดีแชร์ไฟล์ให้แบบฟรีๆไม่ต้องเสียตังค์ 
ด้วยความอยากจะขอบคุณความมีน้ำใจกด Like แสดงความขอบคุณผ่านบล็อค
 เลยตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกของ Blogger แห่งนี้เลย 
และจะได้สะดวกต่อการติดตามผลงานที่เหล่า Blogger ทั้งหลายได้ทำเอาไว้ด้วย
 ส่วนเรื่องว่าบล็อคของเราจะเน้นการเขียนเรื่องไหนนั้นเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที
แต่วันนี้ขอบ่นไปตามประสาก่อนแล้วกันนะคะ